
|
รมช คมนาคม เปิดท่าเทียบเรือชุด D ฮัทชิสัน พอร์ท ในแหลมฉบังอย่างเป็นทางการ ดึงเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่สุดในโลกสู่ประเทศไทย และจะลงทุน 20,000 ล้านบาทในท่าเทียบเรือชุด D ให้เป็นท่าเทียบเรือน้ำลึกที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย สามารถรองรับตู้สินค้าของท่าเรือแหลมฉบังราว 40 เปอร์เซ็นต์
วันนี้( 30 ม.ค. 2562) ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีเปิดท่าเทียบเรือชุด D ณ ท่าเทียบเรือ D บริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย จำกัด ในท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อย่างเป็นทางการ โดยมี มร.สตีเฟ่น แอชเวิร์ธ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ,ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการแทน ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ,นายนิติ วิวัฒน์วานิช นายอำเภอศรีราชา ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมคณะผู้บริหารบริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย และแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมจำนวนมาก
มร.สตีเฟ่น แอชเวิร์ธ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย กล่าวว่า ท่าเทียบเรือชุด D เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดของท่าเรือแหลมฉบังในขณะนี้ และได้รับเรือขนส่งสินค้าคอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้ามาเทียบท่าแล้ว ซึ่งมีความพร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัยในระดับโลก ทั้งในด้านประสิทธิภาพ และประสิทธิผลจำนวนเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท ที่ลงทุนไปกับท่าเรือชุดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า บริษัทฯ พร้อมที่จะลงทุนระยะยาวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยอย่างจริงจัง และนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่การขนถ่ายตู้สินค้าขึ้นและลงเรือทั้งหมด ถูกปฏิบัติการด้วยปั้นจั่นที่ติดตั้งเทคโนโลยีควบคุมระบบปฏิบัติงานจากระยะไกล หรือรีโมทคอนโทรลทั้งหมด และยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพของห่วงโซ่อุปทาน หรือ ซัพพลาย เช่นในประเทศไทย ผ่านการสร้างโอกาสในการต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC
ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการแทน ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับท่าเรือแหลมฉบัง เป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ที่มีโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ที่ได้เปิดให้การบริการแล้ว รวมถึง โครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่พร้อมรองรับการพัฒนาสู่มาตรฐานการเป็นท่าเรือระดับโลก ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A).อีกด้วย รวมถึง โครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่พร้อมรองรับการพัฒนาสู่มาตรฐานการเป็นท่าเรือระดับโลก ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) อีกด้วย
ทั้งนี้ ท่าเรือแหลมฉบัง และฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย นับว่ามีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน โดยได้เริ่มเปิดให้บริการในพื้นที่ของท่าเรือแหลมฉบัง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ฮัทชิสัน พอร์ท เป็นผู้มีประสบการณ์ในการทำงานด้านท่าเทียบเรือในระดับโลก เฉพาะที่ท่าเรือแหลมฉบัง ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ให้บริการอยู่ในท่าเทียบเรือ A2 ,A3 ,C1 และ C2
โดยในปี 2560 บริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท (ประเทศไทย) ได้ทำการขนถ่ายตู้สินค้าครบ 20 ล้านทีอียู นับว่าเป็นผู้ประกอบการท่าเทียบเรือที่ขนส่งสินค้าจำนวนมากที่สุดในท่าเรือแหลมฉบัง โครงการท่าเทียบเรือ ชุด D นี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบัง ให้สามารถรองรับตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 11.1 ล้านทีอียู/ปี ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ “มุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก ด้วยการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573” อย่างรอบด้าน โดยท่าเรือแหลมฉบังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาท่าเรือแหลมบัง ให้เป็น World Class Port โดยเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นท่าเรือที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย
ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงโครงการนี้ว่า นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ที่จะเชื่อมต่อโครงข่ายระบบคมนาคมที่จะเข้ามารองรับการขนส่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ท่าเทียบเรือชุดใหม่นี้นับเป็นพื้นฐานคมนาคมขนส่ง ให้เชื่อมโยงฐานการผลิต แหล่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ทั้งยังเป็นประตูการค้า เพื่อเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่งขึ้นพื้นฐานของต่างๆ อาทิโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการรถไฟทางคู่จากแหล่งอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ที่เชื่อมสู่ท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุดและสัตหีบ สำหรับการขนส่งสินค้าระบบรางที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เทคโนโลยีสมัยใหม่ในท่าเทียบเรือชุดD จะช่วยยกระดับการให้บริการขนส่งและบริหารจัดการระบบคมนาคมขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0' โมเดลใหม่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยที่มุ่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่'เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม'นับเป็นโครงการที่สอดรับกับร่างยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม มุ่งพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2579 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลที่ต้องการสร้างชาติที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
สำหรับ ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย เป็นสมาชิกของกลุ่มฮัทชิสัน พอร์ท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ซีเค ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ จำกัด (CK Hutchison Holdings Limited) ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านท่าเทียบเรือและบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ฮัทชิสัน พอร์ท เป็นผู้ลงทุน พัฒนาและดำเนินกิจการด้านท่าเทียบเรือชั้นนำของโลก มีเครือข่ายท่าเทียบเรือถึง 51 แห่ง กระจายอยู่ใน 26 ประเทศทั่วโลก ทั้งใน เอเซีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป อเมริกาและออสเตรเลีย ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฮัทชิสัน พอร์ท ได้ขยายกิจการครอบคลุมไปถึงธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในด้านอื่นๆ ด้วย อาทิ ท่าเทียบเรือโดยสาร บริการท่าอากาศยาน ศูนย์กระจายสินค้า บริการขนส่งด้วยระบบรางและอู่ซ่อมเรือ ในส่วนของที่ท่าเรือแหลมฉบังโดยมีจุดให้บริการในแหลมฉบังอยู่ที่ ท่าเทียบเรือ A2 ,A3 ,C1 ,C2 ,D1 ,D2 และ D3 เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ท่าเทียบเรือชุด D จะมีความยาวหน้าท่ารวมทั้งสิ้น 1,700 เมตร น้ำลึก 16 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางประกอบไปด้วยปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าจำนวน 17 คัน และมีปั้นจั่นยกตู้สินค้าในลานแบบล้อยางจำนวน 43 คัน
โดยทั้งหมดใช้เทคโนโลยีควบคุมระบบปฏิบัติงานจากระยะไกล เพิ่มความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ราว 3.5 ล้านทีอียูต่อปี โดยเพิ่มความสามารถในการรองรับตู้สินค้าของท่าเทียบเรือแหลมฉบังได้อีก ราว 40 เปอร์เซ็นต์ หรือให้สามารถรองรับตู้สินค้าได้ทั้งสิ้น 13 ล้านทีอียู ทั้งนี้ การเลือกใช้เทคโนโลยีการควบคุมระบบปฏิบัติงานจากระยะไกลจะเพิ่มความปลอดภัย ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ให้กับสายการเดินเรือ รวมถึงผู้ใช้งานท่าเทียบเรือรายอื่นๆ
|